สาเหตุของน้ำคร่ำน้อยมีทั้งที่เกิดจากตัวทารกเองและจากมารดา โดยสาเหตุจากทารกมักเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ความผิดปกติของไต ส่วนสาเหตุจากมารดามักส่งผลกระทบน้อยกว่า ความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำคร่ำที่น้อยลงและอายุครรภ์ ยิ่งน้ำคร่ำน้อยและอายุครรภ์น้อย ผลกระทบต่อทารกจะยิ่งมาก ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจกับ ภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ว่าเกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน และมีวิธีการรับมือได้อย่างไรบ้าง
ภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ เกิดจากอะไร
ภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า oligohydramnios เป็นภาวะที่พบได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยมีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์สาเหตุหลักของภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ มีดังนี้
1.ความผิดปกติของทารกในครรภ์
- ความผิดปกติของไต เช่น ไตพิการแต่กำเนิด หรือไม่มีไต
- การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่สามารถออกมาผสมกับน้ำคร่ำได้
- ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
2.ปัญหาจากรก
- รกเสื่อมสภาพก่อนกำหนด
- การไหลเวียนเลือดในรกไม่ดี
3.ปัญหาจากคุณแม่
- การตั้งครรภ์เกินกำหนด
- โรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- การขาดน้ำอย่างรุนแรง
- การสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติด
4.การใช้ยาบางชนิด
- ยาลดความดันโลหิตบางประเภท เช่น ACE inhibitors
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
5.ถุงน้ำคร่ำรั่ว
- การแตกของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนดโดยไม่มีอาการเจ็บครรภ์
6.ความผิดปกติทางพันธุกรรม
- บางกรณีอาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมหรือพันธุกรรมของทารก
การวินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติสามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งจะวัดปริมาณน้ำคร่ำและประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอายุครรภ์ ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำแก่มารดา หรือการทำหัตถการเพิ่มน้ำคร่ำ
การดูแลครรภ์อย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติได้ หากสงสัยว่ามีภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
อันตรายจากภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ
ภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ส่งผลร้ายแรงต่อการพัฒนาของทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบทางเดินหายใจ เมื่อปริมาณน้ำคร่ำไม่เพียงพอ ปอดของทารกจะไม่สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มที่ตามพัฒนาการปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตที่คุกคามชีวิต ในกรณีรุนแรง ทารกอาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หากทารกรอดชีวิตจนคลอด ก็มักเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนหลังคลอด โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเข้มข้นในหน่วยทารกแรกเกิด และอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
ตรวจรู้ได้อย่างไร ว่าคุณแม่มีภาวะน้ำคร่ำน้อย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญในการวินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำน้อย คือการตรวจอัลตราซาวด์ครรภ์ ซึ่งให้ความแม่นยำค่อนข้างสูง วิธีนี้จะประเมินปริมาณน้ำคร่ำโดยวัดค่า Amniotic fluid index (AFI) หากค่า AFI น้อยกว่า 5 ซม. จะถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย อีกวิธีหนึ่งคือการวัดระดับน้ำคร่ำที่ตำแหน่งลึกที่สุดเพียงตำแหน่งเดียว หากพบว่าน้อยกว่า 2 ซม. ก็บ่งชี้ว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย และถ้าน้อยกว่า 1 ซม. จะเรียกว่าเป็นภาวะน้ำคร่ำน้อยอย่างรุนแรง
นอกจากการประเมินปริมาณน้ำคร่ำแล้ว การตรวจอัลตราซาวด์ยังมีประโยชน์ในการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ เช่น การตรวจดูว่ามีไตหรือไม่ หรือมีการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของภาวะน้ำคร่ำน้อยได้
ป้องกันภาวะน้ำคร่ำน้อยได้หรือไม่
การป้องกันภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยบางกรณีสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม เริ่มตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมความพร้อมและตรวจสุขภาพ เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ควรเริ่มฝากครรภ์และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามกำหนด
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพของทั้งมารดาและทารก นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเสพสารพิษต่างๆ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติดทุกชนิด เนื่องจากสารเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์และพัฒนาการของทารก สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว การป้องกัน รักษา และควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ รวมถึงภาวะน้ำคร่ำน้อย การดูแลสุขภาพอย่างรอบด้านเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์และลดความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติต่างๆ ได้
บทความแนะนำเพิ่มเติม
1. แต่งสวยขณะ ตั้งครรภ์อันตรายหรือไม่ ที่นี่มีคำตอบ
2. ยารักษาสิวสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง!!!
3. ดูแลผิวให้ผิวสวยใสขณะตั้งครรภ์ เรื่องง่ายๆ ที่คุณแม่ทุกคนก็ทำได้