เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเทศเมียนมา ให้เข้าจับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ อดีตอายุรแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ ที่หลบหนีคำพิพากษาประหารชีวิตของศาลจังหวัดเพชรบุรี ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันฝัง ปิดบังซ่อนเร้นศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายและกระทำการใดๆแก่ศพ ก่อนมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อการอำพรางคดี เหตุเกิดที่ไร่ในพื้นที่ ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2552
ภายหลังตำรวจชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.เพชรบุรี ได้ติดตามสะกดรอยบุคคลใกล้ชิดของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ จนพบว่าได้ใช้ช่องทางธรรมชาติฝั่งอ.แม่สอด จ.ตาก ข้ามไปยังแนวชายแดนประเทศเมียนมา เพื่อพบกับพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ จึงติดตามไปจนพบตัวพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และจุดที่หลบซ่อนตัว จากนั้นชุดสืบสวนได้รายงานไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้รับทราบ ก่อนที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะประสานไปยังตำรวจ ประเทศเมียนมา เข้าจับกุมตัวพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไว้ได้และควบคุมตัวมาส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้รับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับคดีของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เกิดขึ้นปลายปี 2555 เมื่อนายสว่างหรือค่อม นุ่มจุ้ย เจ้าของไร่สับปะรดใน จ.เพชรบุรี และ น.ส.วิมล นุ่มจุ้ย บุตรสาว ได้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนนทบุรี ว่าพบรถกระบะโตโยต้า ไทเกอร์ สีเทา ของนายสามารถ นุ่มจุ้ย กับ น.ส.อรษา เกิดทรัพย์ ลูกชายและลูกสะใภ้ที่หายไปทั้งคนทั้งรถนานกว่า 3 ปี อยู่ที่บ้านร้างของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ที่ จ.นนทบุรี ผู้ให้เบาะแสการพบรถคือนายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เชื่อว่าทั้งสองถูกฆ่าเสียชีวิตแล้ว ต่อมามีการสืบสวนขยายผลไปค้นบ้านพักในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ที่บ้านท่ามะริด ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี และคลินิกของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ในกรุงเทพฯ พบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก
นอกจากนี้ ทางสืบสวนยังพบว่ามีแรงงานชาวพม่าที่อยู่ในการดูแลของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ที่เข้าเมืองโดยมิได้รับอนุญาตจำนวนหลายคน ทั้งยังพบว่ามีการทารุณแรงงานชาวพม่า หลายคนทำงานโดยมิได้รับค่าตอบแทน และได้รับแจ้งว่าหนึ่งในจำนวนแรงงานพม่าชื่อนายอีต้า ถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ฆ่าฝังไว้ในไร่ จากการขุดบริเวณไร่หลังบ้านที่ ต.กลัดหลวง พบโครงกระดูกจำนวน 3 โครงถูกฝังอยู่ โดย 1 โครงที่ถูกขุดพบมีร่องรอยถูกกระสุนปืนที่กะโหลกศีรษะ ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์ทาง DNA แล้วพบว่าเป็นโครงกระดูกของนายอีต้า แรงงานชาวพม่าที่สูญหายไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดตามตัว และจับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ที่ปึกเตียนวิลล่า อ.ท่ายาง แจ้งข้อกล่าวหา 3 คดีหลักคือ ค้ามนุษย์ ลักทรัพย์ และฆ่าผู้อื่นโดยปิดบังอำพรางศพ และควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางเพชรบุรี กระทั่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
ต่อมาวันที่ 1 ก.พ.2558 ศาลเพชรบุรีได้นัดพิจารณาคดีฆ่าผู้อื่น แต่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่มาศาลทั้งยังมิได้ให้ตัวแทนมาแสดงเหตุผลต่อศาลว่าผิดนัดด้วยเหตุใด ศาลจึงออกหมายจับ ให้ออกหมายจับ และให้ยึดหลักทรัพย์ประกันขอปล่อยตัวชั่วคราวขอยื่นประกันตัวไว้มูลค่า 3,000,000 บาทและนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 1 พ.ค.2558 แต่ปรากฏว่าพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา มีเพียง นายอัคร และนายเอก บุตรชาย จำเลยร่วมในคดีฆ่าผู้อื่นฯ น.ส.ศิวารายา ณ สงขลา ภรรยาคนที่ 4 ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และทนายความมาฟังคำพิพากษาเท่านั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่มาศาล มีพฤติการณ์หลบหนีคดี จึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งของโจทย์และจำเลย รวมทั้งพยาน คือ นายสรพงษ์ หรือกะลา และนายโย่ง ชาวพม่า คนงานในไร่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ให้การตรงกันว่า เหตุการณ์ฆาตกรรมนายอีต้า ดังกล่าว เกิดเมื่อประมาณเดือนก.พ. 2547 เนื่องจาก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ไม่พอใจที่นายอีต้า สนิทสนมกัน นางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยาคนที่ 3 ของตน จึงให้นายกะลาจับกุมนายอีต้า ไปในไร่แล้วใช้อาวุธปืนจ่อยิงก่อนขุดหลุมฝัง โดยมีนายเอก ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ส่วนนายโย่งหลบหนีมาได้ ทั้งนี้ศาลพิจารณาว่าคำให้การของนายอีต้าและนายโย่งสอดคล้องกัน
นอกจากนี้จากผลการตรวจสอบนิติวิทยาศาสตร์พบว่า กะโหลกที่ขุดพบในจุดที่นายกะลา ชี้ว่าฝังศพนายอีต้า มีรอย กระสุนปืน และพบเศษชิ้นส่วนกระสุนปืน นำกะโหลกไปตรวจสอบ DNA เทียบกับ บิดา และลูกชายนายอีต้าพบว่าตรงกัน จึงยืนยันว่าเป็นกะโหลกของนายอีต้า ที่ถูกฆาตกรรมโดยการยิงที่ศีรษะตรงกับคำให้การนายกะลา ศาลจึงพิพากษาประหารชีวิต พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และนายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชาย ข้อหาร่วมกันฆ่าแรงงานชาวพม่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันฝัง ปิดบัง ซ่อนเร้นศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายและการกระทำใดๆ แก่ศพก่อนมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อการอำพรางคดี ส่วนนายอัคร เลาหะวัฒนะ บุตรชายอีกคนที่ร่วมก่อคดี ขณะเกิดเหตุอายุ 19 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พิพากษาลงโทษจำคุก 25 ปี 3 เดือน