โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก หรือที่เรียกว่า Inherited Metabolic Disorders หรือ Inborn Errors of Metabolism (IBEM) เป็นโรคพันธุกรรมกลุ่มหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของยีนเดี่ยว ทำให้การเรียงลำดับของสาย DNA บกพร่อง ก่อให้เกิดความผิดปกติของการสร้างโปรตีน เช่น เอนไซม์ โปรตีนตัวรับขนส่ง โปรตีนโครงสร้าง หรือส่วนประกอบอื่นของเซลล์ แล้วส่งผลให้กระบวนการย่อยสลาย (Catabolism) หรือขบวนการสังเคราะห์สารอาหารในร่างกาย (Anabolism) ผิดปกติไปอย่างที่รู้กันว่า การเผาผลาญอาหารในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์มีพลังงานในการดำรงชีวิต แต่หากยีนตัวนี้มีความบกพร่อง จนไปทำให้เซลล์ไม่สามารถย่อยสารอาหารได้ เปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานไม่ได้ นาน ๆ เข้า สารอาหารที่ถูกสะสมไว้ในตัวจะตกค้างจนกลายเป็นพิษ และในที่สุดเซลล์ก็จะตาย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้นั่นเอง
ทำไมลูกถึงเป็นโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
โรคนี้เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเกิดจากยีนด้อยของพ่อและแม่ ดังนั้น จึงมักเกิดจากการแต่งงานกันเองในเครือญาติ หรืออาจเป็นเครือญาติที่เคยเกี่ยวดองกันก็เป็นได้ ทำให้ยีนด้อยที่มีความบกพร่องเหมือนกันมาเจอกัน เมื่อคลอดลูกออกมาก็จึงป่วยด้วยโรคนี้
อาการของโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กที่ป่วยโรคนี้มักเสียชีวิต เพราะแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วนัก เนื่องจากอาการที่เกิดนั้นสามารถเลียนแบบโรคในเด็กได้เกือบทุกโรค โดยทำให้เกิดอาการในระบบเดียวหรือหลายระบบก็ได้ อาการที่พบบ่อยจะเป็นอาการทางระบบประสาท, ทางเดินอาหาร และหัวใจ ผู้ป่วยในกลุ่มโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกจะเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุเท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับระดับเอนไซม์เอนไซม์ที่เหลือและปัจจัยส่งเสริม ถ้าการกลายพันธุ์ (Mutation) ทำให้ไม่เหลือเอนไซม์ที่ปกติเลย ผู้ป่วยอาจเกิดอาการเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด แต่ถ้าการกลายพันธุ์เพียงแค่ทำให้ระดับเอนไซม์ลดลง แต่ยังมีอยู่บ้าง ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการเลยจนกว่าจะมีปัจจัยมาส่งเสริม ย่างไรก็ตาม อาการและอาการแสดงทางคลินิกในผู้ป่วยพันธุกรรมเมตาบอลิก มีดังนี้
1. อาการป่วยเฉียบพลัน
แพทย์ควรวินิจฉัยแยกโรคกลุ่มพันธุกรรมเมตาบอลิก ในกรณีที่ผู้ป่วยมีลักษณะทางคลินิกดังต่อไปนี้
- มีอาการคล้ายภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) โดยอาการเกิดขึ้นหลังคลอดไม่นาน มักเป็นชั่วโมงหรือวัน และมีช่วงเวลาที่ปกติมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผลการเพาะเชื้อไม่พบเชื้อใด ๆ ทั้งนี้ การที่ผู้ป่วยไม่มีอาการก่อนคลอดและระยะแรกหลังคลอดนั้น เนื่องจากสาร intermediates เหล่านี้มักมีโมเลกุลเล็กสามารถผ่านรกไปสู่มารดาและถูกกำจัดไปได้
- การเจ็บป่วยเกิดในช่วงอายุอื่น แต่ความรุนแรงของการเจ็บป่วยและผลทางห้องปฏิบัติการไม่สัมพันธ์กับสาเหตุ เช่น ผู้ป่วยเป็นไข้หวัด แต่หอบมาก ซึม
- ผู้ป่วยมีอาการหอบ, ซึม หรืออาเจียนซ้ำ ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีประวัติเป็นไข้หวัดหรือได้ทานอาหารโปรตีนสูงก่อนเกิดอาการ ในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บป่วยจะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยได้รับสารอาหารจากการรับประทานไม่เพียงพอ เนื่องจากเบื่ออาหาร หรืออาเจียน แต่ร่างกายกลับต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรค จึงทำให้ร่างกายต้องย่อยสลายเนื้อเยื่อของตนเองเพื่อใช้เป็นพลังงาน เนื้อเยื่อที่นำมาใช้นี้มีทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ดังนั้น เอนไซม์ที่เหลืออยู่ซึ่งทำหน้าที่ได้เพียงพอในภาวะปกติ จึงไม่สามารถสลายสารอาหารเหล่านี้ได้หมดในภาวะวิกฤติ ทำให้เกิดสารพิษสะสมและเกิดอาการทางคลินิกขึ้น
- ในขณะเจ็บป่วยผู้ป่วยมีกลิ่นตัวและกลิ่นปัสสาวะผิดปกติ ทั้งนี้เนื่องจากสารที่คั่งใน Organic Acidopathies หลายโรคระเหยได้ง่าย เช่น ภาวะมีกรดไอโซวาลิริกในเลือด (Isovaleric Acidemia) หรือ โรคปัสสาวะน้ำเชื่อมเมเพิล (โรคปัสสาวะหอม : Maple Syrup Urine Disease) เป็นโรคในกลุ่มกรดอะมิโนที่พบมากในประเทศไทย
- มีคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง มีอาการคล้ายผู้ป่วย หรือบิดามารดาเป็นญาติกัน
2. อาการทางระบบประสาท
หากผู้ป่วยมีอาการทางระบบประสาท แล้วแพทย์ตรวจไม่พบว่าติดเชื้อจากความผิดปกติทางโครงสร้าง (เช่น เนื้องอก) หรือภาวะสมองขาดออกซิเจน แพทย์ควรวินิจฉัยแยกโรคในกลุ่มพันธุกรรมเมตาบอลิก ซึ่งอาการทางประสาทจะแสดงออกได้หลายอย่าง เช่น มีอาการซึมลง ชักหลังคลอด หรือชักภายใน 1-2 เดือน มีพัฒนาการช้า มีระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ มีระดับทรานซามิเนส (Transaminase) และแอมโมเนีย (Ammonia) สูงขึ้น มีการถดถอยของพัฒนาการในช่วงอายุประมาณ 1 ปี มีการเคลื่อนไหวนอกที่เหนือความควบคุม (Involuntary Movement) และมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ฯลฯอย่างไรก็ตาม ทุกอาการที่ว่ามานี้อาจแสดงได้ถึงหลายโรค ดังนั้น ต้องเข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัยอย่างชัดเจน
3. อาการทางระบบทางเดินอาหาร
ผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีอาการตัวเหลือง ตับโตในขวบปีแรก หรืออาจอาเจียนเป็น ๆ หาย ๆ เริ่มมีตับและม้ามโตไม่ว่าลักษณะใดหลังอายุ 4 ปีซึ่งจะต้องตรวจค่าต่าง ๆ ในร่างกายอย่างละเอียด จึงจะระบุแน่ชัดว่าเป็นโรคนี้หรือไม่
4. อาการที่เกิดกับหัวใจ
บางกลุ่มของโรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยหัวใจโต จากการหนาตัวขึ้นของผนังหัวใจด้านซ้าย และยังมีอาการทางกล้ามเนื้อลายด้วย (กล้ามเนื้อที่ยึดติดกับกระดูก ทำหน้าที่ในการเคลื่อนที่ของร่างกาย) รวมทั้งอาจมีอาการลิ่มเลือดอุดตัน เกิดอาการหัวใจวายตามมา
การวินิจฉัยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
- การวินิจฉัยทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากแต่ละโรคพบได้น้อยมาก จัดเป็นโรคหายากในต่างประเทศประเมินอุบัติการณ์ไว้ราว 1 ต่อ 5,000 คน ทำให้แพทย์ไม่ค่อยนึกถึงเมื่อพบผู้ป่วยมีอาการลักษณะนี้ กว่าจะแยกโรคได้ก็มีอาการค่อนข้างมากแล้ว ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบอุบัติการณ์ที่แน่นอน
- การตรวจทางห้องปฎิบัติการโดยเฉพาะการตรวจเลือดและปัสสาวะเบื้องต้น มักไม่ค่อยบอกโรคชัดเจน ยกเว้นส่งตรวจพิเศษบางอย่างเช่นการวิเคราะห์ Plasma Amino Acid หรือ Urine Organic Acid
- ในทารกแรกเกิดซึ่งมีโอกาสพบโรคกลุ่มนี้ได้บ่อย มักจะมีการตอบสนองต่อความเจ็บป่วยรุนแรงอย่างมีขีดจำกัด หรือแสดงอาการอย่างไม่จำเพาะเจาะจง เช่น “Poor Feeding” อย่างไม่ดูดนม ท้องอืด สำรอกนม หรืออาการในลักษณะเซื่องซึม เป็นต้น ซึ่งยากแก่การวินิจฉัยในเบื้องต้น
- กุมารแพทย์มักจะคิดถึงโรคกลุ่มนี้ในบางภาวะเท่านั้น เช่น ภาวะปัญญาอ่อน หรือชักที่คุมได้ยาก และมองข้ามอาการแสดงบางอย่างที่อาจเป็นเงื่อนงำสำคัญในการวินิจฉัยโรค
อย่างไรก็ตาม หากต้องสงสัยว่าเด็กอาจเป็นโรคนี้สามารถวินิจฉัยได้ในหลายวิธี คือ
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น โดยแพทย์จะตรวจภาวะหลาย ๆ อย่าง เช่น ภาวะน้ำตาลเลือด ตรวจค่าตับ ฯลฯ เพื่อแยกโรค
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการพิเศษ หากผลการตรวจเบื้องต้นพบความผิดปกติ แพทย์จะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการพิเศษ เพื่อแยกโรคให้ชัดเจนขึ้น
- การตรวจปัสสาวะ
- การตรวจเลือด
แนวทางการรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
ในทางการแพทย์มีหลายแนวทางที่สามารถช่วยรักษาผู้ป่วยโรคนี้ได้ อย่างเช่น
- ใช้วิธี Dietary Therapy หรือ จำกัดสารอาหารโปรตีน
- หลีกเลี่ยงสารและยาที่ทำให้เกิดโรค
- กำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกาย โดยใช้สารเคมีบางอย่างเข้าช่วย เพื่อให้สารพิษเช่น urea cycle defects ขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
- ใช้ยาขับสารพิษที่ร่างกายสร้างมากเกินปกติออกไป
- การให้สารที่ร่างกายขาด เช่น ให้ฮอร์โมนไทรอยด์แก่ผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง
- ให้วิตามินเสริมการทำงานของร่างกาย
- การให้โปรตีนยับยั้งในบางโรค
- การให้โปรตีนที่ขาด
- การปลูกถ่ายอวัยวะ ปลูกถ่ายไขกระดูก
- การเปลี่ยนยีน โดยกระบวนการนำสารพันธุกรรมที่ขาดหายไปใส่ในเซลล์เพื่อแก้ไขความผิดปกติของยีน
การป้องกันโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก
- ผู้ที่วางแผนแต่งงาน ควรเข้ารับการปรึกษาทางพันธุศาสตร์จากแพทย์ก่อน เพราะโรคที่เกิดจากการถ่ายทอดยีนด้อยนี้ จะทำให้การตั้งครรภ์แต่ละครั้งจะมีโอกาสได้ทารกผิดปกติถึงร้อยละ 25
- ตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด เพื่อบอกได้ว่าทารกในครรภ์เป็นโรคพันธุกรรมนั้น ๆ หรือไม่ เพื่อให้คู่สามีภรรยาพิจารณากเลือกยุติการตั้งครรภ์
บทความแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคุณแม่
2. 5 โรคอันตรายในเด็กที่ต้องเฝ้าระวัง
3.โรคร้ายที่พบในเด็กแต่ละช่วงวัย ที่แม่ควรรู้
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team
ขอบคุณข้อมูลจาก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย